ประเทศภูฏาน (อังกฤษ: Bhutan; [เกี่ยวกับเสียงนี้] /buː'tɑːn/ (วิธีใช้·ข้อมูล) )[3] หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรภูฏาน เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีขนาดเล็ก และมีภูเขาเป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยระหว่างประเทศอินเดียกับจีน
ชื่อในภาษาท้องถิ่นของประเทศคือ Druk Yul (อ่านว่า ดรุก ยุล) แปลว่า "ดินแดนของมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon)" นอกจากนี้ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Druk Tsendhen เนื่องจากที่ภูฏาน เสียงสายฟ้าฟาดถือเป็นเสียงของมังกร ส่วนชื่อ ภูฏาน (Bhutan) มาจากคำสมาสในภาษาสันสกฤต ภู-อุฏฺฏาน อันมีความหมายว่า "แผ่นดินบนที่สูง" (ในภาษาฮินดี สะกด भूटान ถอดเป็นตัวอักษรคือ ภูฏาน)
มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้การปกครองโดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 ของราชวงศ์วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก 161 คน
สมาชิก 106 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
สมาชิก 55 คน มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์
ในสมัยศตวรรษที่ 17 นักบวช ซับดุง นาวัง นำเยล (Zhabdrung Ngawang Namgyal) ได้รวบรวมภูฏานให้เป็นปึกแผ่นและก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น และในปี 2194 นักบวชซับดุงได้ริเริ่มการบริหารประเทศแบบสองระบบ คือ แยกเป็นฝ่ายฆราวาสและฝ่ายสงฆ์ ภูฏานใช้ระบบการปกครองดังกล่าวมาเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2450 พระคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐ ผู้ปกครองจากมณฑลต่าง ๆ ตลอดจนตัวแทนประชาชนได้มารวมตัวกันที่เมืองพูนาคา และทำการเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ อูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปกครองเมืองตองซา (Trongsa) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของภูฏาน โดยดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์แรกแห่งราชวงศ์วังชุก (Wangchuck) เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่นของพระองค์ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ปกครองเมืองตองซา ทรงมีลักษณะความเป็นผู้นำและเป็นผู้นำที่เคร่งศาสนาและมีความตั้งพระทัยแน่ว แน่ที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ราชวงศ์วังชุกปกครองประเทศภูฏานมาจนถึงปัจจุบันสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyal Wangchuck) ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2549 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก
ภูฏานจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีพรรคการเมืองสองพรรค
ประเทศภูฏานแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 เขตบริหาร (administrative zones - dzongdey) แต่ละเขตบริหารแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น มณฑล (districts - dzongkhag) รวมทั้งหมด 20 มณฑล ได้แก่
1.มณฑลบุมทัง (བུམ་ཐང་རྫོང་ཁག་) 2. มณฑลชูคา (ཆུ་ཁ་རྫོང་ཁག་) 3. มณฑลดากานา (དར་དཀར་ན་རྫོང་ཁག་)
4.มณฑลกาซา (མགར་ས་རྫོང་ཁག་) 5.มณฑลฮา ( ཧཱ་རྫོང་ཁག་) 6.มณฑลลฮุนต์ชิ (ལྷུན་རྩེ་རྫོང་ཁག་) 7.มณฑลมองการ์ (མོང་སྒར་རྫོང་ཁག་)
8 มณฑลพาโร (སྤ་རོ་རྫོང་ཁག་) 9.มณฑลเปมากัตเซล (པདྨ་དགའ་ཚལ་རྫོང་ཁག་) 10.มณฑลพูนาคา (སྤུ་ན་ཁ་རྫོང་ཁག་)
11.มณฑลซัมดรุปจงคาร์ (བསམ་གྲུབ་ལྗོངས་མཁར་རྫོང་ཁག་) 12.มณฑลซัมชิ (བསམ་རྩེ་རྫོང་ཁག་) 13.มณฑลซาร์ปัง (གསར་སྤང་རྫོང་ཁག་)
14.มณฑลทิมพู (ཐིམ་ཕུ་རྫོང་ཁག་ ) 15.มณฑลตาชิกัง (བཀྲིས་སྒང་རྫོང་ཁག་) 16.เขตตาชิยังต์ซี (གཡང་རྩེ་རྫོང་ཁག་)
17.มณฑลตงซา (ཀྲོང་གསར་རྫོང་ཁག་) 18.มณฑลชิรัง (རྩི་རང་རྫོང་ཁག་) 19.มณฑลวังดีโพดรัง (པདྨ་དགའ་ཚལ་རྫོང་ཁག་) 20.มณฑลเช
สัตว์ประจำชาติ : ทาคิน เป็นสัตว์ที่หายาก เพราะมีอยู่ในดินแดนภูฏานเพียงแห่งเดียว และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ มีลักษณะคล้ายวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่ง บนความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร
ต้นไม้ : ต้นสนไซปรัสนิยมปลูกตามวัด
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกป๊อปปี้สีฟ้า เป็นดอกไม้ป่าที่พบตามเขตภูเขาในภูฏาน
อาหารประจำชาติ : อาหารพื้นบ้านเป็นอาหารเรียบง่าย อาหารหลักเป็นทั้งข้าว บะหมี่ ข้าวโพด ยังนิยมเคี้ยวหมากอยู่ อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยพริก ผักและมันหมู อาหารประจำชาติคือ Ema datshi ซึ่งประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไชเท้า มันหมูและหนังหมู ชาวภูฏานนิยมอาหารรสจัด เครื่องดื่มมักเป็นชาใส่นมหรือน้ำตาล ในฤดูหนาวนิยมดื่มเหล้าหมักที่ผสมข้าวและไข่ ไม่นิยมสูบบุหรี่ นอกจากนั้นมีอาหารจากทิเบต เข่นซาลาเปาไส้เนื้อ ชาใส่เนยและเกลือ และอาหารแบบเนปาลในภาคใต้ที่กินข้าวเป็นหลัก
ธงชาติภูฏาน
สีเหลือง ครึ่งบนของธงชาติ หมายถึง อำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นสีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม
สีส้ม ครึ่งล่างของธงชาติ หมายถึง การปฏิบัติธรรมและความเลื่อมใสและศรัทธาของชาวภูฏานที่มีต่อศาสนาพุทธ
มังกรที่อยู่ตรงกลางของธงชาติ หมายถึง ประเทศดรุกยุล มีความหมายว่าดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า ตัวมังกรมีสีขาวบริสุทธิ์ อันเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนทุกเชื้อชาติ ทุกภาษาที่อยู่ในประเทศ ท่าทีที่มังกรกำลังอ้าปากคำรามนั้น แสดงออกถึงความมีอำนาจน่าเกรงขามของเหล่าพระผู้เป็นเจ้าทั้งชายและหญิงที่ปก ป้องภูฏาน
วัดทักซัง หรือวัดรังเสือ (Tiger's Nest in Bhutan) เป็นวัดพุทธที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูฏาน โดยถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 จุดเด่นอยู่ที่ตัววัดนั้นตั้งอยู่ริมผาซึ่งมีความสูงกว่า 900 เมตร ในเขตปาโร ด้วยความสูงเทียมฟ้าเช่นนี้เองทำให้วัดนั้นอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวที่ล้อม รอบวัด อีกทั้งยังสามารถชมวิวสวย ๆ ด้านล่างได้อย่างชัดเจนในวันที่ท้องฟ้าโปร่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่หมู่มวลดอกไม้ต่างพากกันชูช่อสวยงาม
พูนาคาซอง อยู่กลางระหว่างแม่น้ำโมและแม่น้ำโป
พูนาคา ซอง” (Punakha Dzong) เมืองพูนาคา
มีตำนานว่า “กูรู รินโปเช” หรือ “พระปทุมสมภพ” ทรงมีพุทธทำนายว่า จะมีบุรุษนาม “นัมเกล” มาสร้างป้อมปราการ หรือ “ซอง” บริเวณด้านหน้าเขา รูปงวงช้างแห่งนี้ ซึ่งคำทำนายเป็นจริง เมื่อท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล ประมุขฝ่ายอาณาจักรและ ศาสนจักรสร้าง “พูนาคา ซอง” เป็นที่ประทับเมื่อราว 350 ปีก่อน(ก่อนไปสร้าง “ตาชิโช” ซองที่ทิมพู ) “พูนาคา ซอง” โดดเด่น ณ จุดบรรจบลำน้ำโม (โม=ผู้หญิง) กับลำน้ำ โป (โป=ชาย)รวมกันเป็นแม่น้ำ พูนาซัง ทั้งนี้ “พูนาคา ซอง” ถือเป็น “ซอง” ที่สำคัญที่สุดของภูฏาน เพราะเป็นสถานที่เก็บ พระอัฐิ ของท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล และ ยังเป็นสถานที่ ซึ่งพระเจ้าอุกเยน วังชุก ได้กระทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งภูฏาน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2450 ( ต่อมาจึงกำหนดให้ทุกวันที่17 ธ.ค. เป็นวันชาติภูฏาน ) “พูนาคา ซอง” เป็นซองขนาดใหญ่มาก
นอกจากมีพระตำหนักมีศาลาว่าการของ เมืองแล้ว ยังมีโบสถ์ วิหาร ประดิษฐานในซองนี้ถึง 21 แห่ง มีภิกษุสามเณรจำพรรษากว่า 6,000 รูป แม้จะเคยเกิดไฟไหม้ถึง 6 ครั้ง น้ำท่วม และแผ่นดินไหว อย่างละครั้ง แต่ยังคงความสง่างามตราบจนวันนี้
เมือง พูนาคา (Punakha) ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร (ต่ำกว่าทิมพูราว 1,000 เมตร)จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกว่าทิมพู กษัตริย์ภูฏานและ สมเด็จพระสังฆราชจะทรง เสด็จแปรพระราชฐานในฤดูหนาว (ช่วงเดือน พ.ย.- เม.ย.) พูนาคาจึงเป็น “เมืองหลวงฤดูหนาว” (Winter Capital๗
เดอชูล่าพาส สาวภูฎาน
“โดชูลาพาส ” ( Dochula Pass) หรือช่องเขาศิลาที่มีระดับความสูง 3,145 เมตร ซึ่งมีสถูป “ดรุค วังเกล” (Druk Wangyel Chorten) หรือสถูปแห่งความเป็นสิริมงคลและ สันติสุขของแผ่นดิน 108 องค์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อ ถวายพระโพธิสัตว์ของชาววัชรยาน 108 องค์ โดยสมเด็จพระราชินี อะชิ ดอร์จิ วังโม นำท่านชมวิว ยอดเขาซึ่งสูงกว่า 7,000 เมตร หลากหลายยอด และชม ยอดเขาโต๊ะซึ่งมียอดแบนราวกับโต๊ะ
ระบำหน้ากาก ระบำหน้ากาก
ระบำทางศาสนาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.:ระบำเทศนาซึ่งมีเนื้อหาในการสั่งสอนศีลธรรม (ระบำเจ้าชายและเจ้าหญิง ระบำกวางกับสุนัขล่าเนื้อ ระบำพิพากษาวิญญาณ)
2.ระบำเพื่อสร้างความบริสุทธิ์และปกป้องคุ้มครองสถานที่ไม่ให้วิญญาณร้ายมาคุกคาม (ระบำเจ้าแห่งเชิงตะกอน ระบำกวาง ระบำเทพเจ้าภาคดุร้าย ระบำหมวกดำ ระบำกิงกับโชลิง ระบำกิงรำไม้เท้า ระบำกิงรำดาบ)
3.ระบำประกาศชัยชนะของพุทธศาสนาและบารมีของท่านคุรุริน เปโช (ระบำที่ใช้กลอง ระบำวีระบุรุษ ระบำภาคสำแดงเดชทั้งแปดของคุรุรินเปโช)
ดรอมเช (Dromche) : เป็นพิธีกรรมร่ายรำบูชาเทพเยเชกมโป (ท้าวมหากาฬ เทพยดาผู้ปกปักรักษาภูฏาน) และเทพเปลเด็นฮาโม (เทพมหากลี เทพธิดาผู้ปกปักรักษาภูฏาน) หรือเรียกรวมๆว่า “ธรรมบาล” หรือผู้ปกป้องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งอาจจะปรากฏในร่างสัตว์นานาชนิด เช่น ควายป่า วานร กวาง ครุฑ และอื่นๆอีกมากมาย ตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายวัชระยานตันตระ หรือศาสนาพุทธแบบทิเบต
ระบำทั่วไป มีหลายภาค ในภูฎาน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองพาโร (Paro National Museum) ตั้งอยู่บนอาคารทรงกลม ซึ่งเคยเป็น “หอสังเกตการณ์รบ” หรือ “ตาซอง” (Ta Dzong) มีอายุ เก่าแก่กว่า 350 ปี สร้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2192 (ร่วมสมัยพระเจ้า ปราสาททอง) ก่อนดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ใน พ.ศ.2511 โดยกษัตริย์ จิกมี่ ดอร์จิ วังชุก รัชกาลที่ 3 ผู้ได้รับการยกย่อง เป็น
“บิดาแห่งภูฏานยุคใหม่” ชม อลังการแห่งผ้าพระบท (ตังกา) แผนภูมิศักดิ์สิทธิ์ของ ชาวพุทธวัชรยาน (มันดาลา) ตลอดจนอาวุธ เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีคัมภีร์พระไตรปิฎกรวมถึงแสตมป์หรือดวงตราไปรษณีย์ที่ทำให้ภูฏานขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ออกแบบแสตมป์สวยที่สุด
“ทาคิน” เป็นสัตว์พิเศษ ที่มีลักษณะผสมระหว่าง แพะกับวัว เป็นสัตว์ที่มีเฉพาะในภูฏานเท่านั้น ถือเป็นสัตว์ประจำชาติของภูฏาน (National Animal of Bhuthan)
หน้าที่เข้าชม | 134,514 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 85,813 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 ส.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |